จากเหตุการณ์ COVID-19 มีการ Lock down และมีข่าวคนเจ็บ คนตายทั่วโลกเป็นจำนวนล้าน เกิดภาวะว่างงาน ขาดเงิน ขาดรายได้ แบบฉับพลัน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่คนรุ่นปัจจุบัน ไม่เคยประสบมาก่อน ถือเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงตั้งแต่ปานกลางถึงมากตามประสบการณ์ของแต่ละคน ซึ่งทำให้เกิดอาการทางจิตสังคมหลายแบบ เช่น วิตกกังวล ซึมเศร้า แต่มีโรคหนึ่ง ซึ่งเกิดจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญอย่างรุนแรง ซึ่งมีชื่อภาษาอังกฤษว่า PTSD (Post-traumatic stress disorder)
โรคเครียดหลังประสบเหตุการณ์ร้ายแรง (Post-traumatic stress disorder; PTSD)
หมายถึง ความผิดปกติทางจิตใจภายหลังประสบเหตุการณ์ร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นผู้ประสบเหตุโดยตรง หรือเป็นพยานผู้รู้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดกับคนอื่น หรือเรียนรู้เหตุการณ์ความรุนแรงหรืออุบัติเหตุที่เกิดกับบุคคลใกล้ชิด หรือรับรู้รายละเอียดของเหตุการณ์ที่รุนแรงนั้นซ้ำๆ จนทำให้เกิดความกลัว (Fear) ความหวาดหวั่นอย่างรุนแรง (Horror) และรู้สึกหมดหนทางช่วยเหลือ (Helplessness) และรบกวนการดำเนินชีวิต การเรียนหรือการทำงาน
อาจพบได้หลังประสบเหตุการณ์รุนแรงต่างๆ เช่น ภัยธรรมชาติ อุบัติเหตุ การถูกทำร้าย ทางร่างกายหรือทางเพศ การถูกข่มขืน ถูกทรมาน ในกรณี COVID-19 ซึ่งทำให้ชีวิตประจำวันเปลี่ยนไป ทั้งการทำงาน อาชีพ รายได้ แบบทันทีทันใด ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรง โดยอาจเป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์ หรือเป็นพยานรู้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดกับผู้อื่น หรือได้รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดกับคนใกล้ตัวก็ได้
โรคนี้มีอาการมากจนรบกวนการดำเนินชีวิต และการทำงาน ทำให้ประสิทธิภาพการปรับตัวลดลงและเกิดความสูญเสียบุคคลที่มีศักยภาพ ความสูญเสียด้านจิตใจโดยทั่วไปยากจะฟื้นตัวได้ด้วยตัวเอง ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากภายนอก และการฟื้นตัวอาจใช้เวลานาน
หากไม่ได้รับการดูแลอย่างทันท่วงทีผู้ที่รอดจากการประสบเหตุการณ์ร้ายแรงมีโอกาสเกิดโรคทางจิตเวชอื่น ได้แก่ โรคซึมเศร้า (Major depressive disorder), โรค Panic disorder, โรค Generalized anxiety disorder และโรคการใช้สารเสพติด (Substance use disorder) หรือสุรา เป็นต้น ถ้าให้การช่วยเหลือไม่ถูกต้องอาจกระตุ้นให้เกิดอาการ เป็นการซ้ำเติมทางจิตใจ (Re-traumatization) แพทย์จึงควรมีความรู้ เพื่อให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้ประสบเหตุการณ์ร้ายแรงและส่งต่อผู้ป่วย
อาการและอาการแสดง
หลังประสบเหตุการณ์ร้ายแรง ถ้ามีอาการ 3 วันขึ้นไปแต่หายไปภายใน 1 เดือนแรกจัดเป็นโรคเครียดเฉียบพลัน (Acute stress disorder; ASD) แต่ถ้านานกว่า 1 เดือนแล้วยังมีอาการอยู่ หรืออาการเกิดหลังจากนั้นจัดเป็นโรคเครียดหลังประสบเหตุการณ์ร้ายแรง (Post-traumatic stress disorder; PTSD) โดยอาการที่สำคัญมีดังนี้
- รู้สึกเหมือนเผชิญเหตุการณ์นั้นอีก (Re-experience) คิดถึงเหตุการณ์นั้นซ้ำๆ ตกใจขึ้นมาเองเหมือนตนเองอยู่ในเหตุการณ์นั้นอีกเมื่อมีสิ่งเร้าเพียงเล็กน้อย เช่น เสียงดัง ฝันร้ายว่าอยู่ในเหตุการณ์นั้นอีก รู้สึกเหมือนอยู่ในเหตุการณ์นั้นขึ้นมาเอง และตกใจกลัวรุนแรงโดยอาจไม่มีเหตุกระตุ้น (Flashback) แล้วเกิดอาการทางร่างกายที่แสดงความวิตกกังวล เช่น ใจสั่น มือสั่น เหงื่อออกมาก สับสน อาการอาจเกิดเป็ นพักๆ ทำให้รู้สึกว่าสูญเสียการควบคุมตน ทุกข์ทรมานใจมาก กลัวว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นอีก จึงพยายามหลีกเลี่ยงสถานการณ์หรือสถานที่ที่ทำให้เกิดอาการ
- พยายามหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่สัมพันธ์กับเหตุการณ์นั้น (Avoidance) กลัวสถานที่หรือสถานการณ์ที่ประสบ หวาดกลัวสิ่งเร้าที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และหลีกเลี่ยงไม่กล้าเผชิญกับสิ่งเร้านั้นๆ อาการกลัวนี้ทำให้ผู้ประสบภัยหลีกเลี่ยงการคิดถึง หรือพูดถึงเหตุการณ์นั้น
- มีการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ ความคิดและการรับรู้ เช่น อาการเมินเฉย แปลกแยก ไร้อารมณ์ (Dissociation)รู้สึกสิ่งแวดล้อมแปลกไป (Derealization) หรือตนเองแปลกไปจากเดิม (Depersonalization) จำเหตุการณ์สำคัญนั้นไม่ได้ (Dissociative amnesia) ไม่รับรู้สิ่งรอบตัว
- มีอาการตื่นตัวมากเกินปกติ (Hyperarousal) กลัวเหตุการณ์นั้น วิตกกังวลง่าย กังวล แม้ แต่เรื่องเล็กน้อย ตกใจง่ายจากเสียงดัง ขาดสมาธิ ย้ำคิดย้ำทำ คิดวนเวียนเรื่องที่วิตกกังวลซ้ำๆ อาจมีอารมณ์แปรปรวน ร้องไห้ ไม่สามารถควบคุมตนเอง ความกังวลอาจเกิดจากเหตุการณ์ที่เกิดตามมา เช่น การพลัดหลง การเผชิญสถานการณ์ตามลำพัง ความกลัวจากการสูญเสีย การค้นหาผู้รอดชีวิต ความกลัวต่อสภาพสิ่งแวดล้อมที่กำลังวุ่นวายสับสน หรือการได้รับข้อมูลข่าวสารที่น่ากลัวจากเหตุการณ์นั้นอีก
อาการอื่นๆ ที่พบร่วมด้วย ได้แก่ความโศกเศร้าเสียใจจากการสูญเสีย (Grief reaction) เกิดจากการสูญเสียคนรักหรือทรัพย์สิน หมดหวัง ท้อแท้ รู้สึกไม่สามารถควบคุมเหตุการณ์ใดๆ ได้ ภาวะซึมเศร้าและฆ่าตัวตาย (Depression and suicide) ภาวะซึมเศร้าอาจเกิดต่อเนื่องจากเหตุการณ์ในสัปดาห์แรกหรือเริ่มเกิดภายหลัง ประกอบด้วยอาการหลายอย่าง ได้แก่ อารมณ์ไม่สดชื่นร่าเริง เบื่อหน่าย ท้อแท้ ขาดความสุข เบื่ออาหาร น้ำหนักลด นอนไม่หลับ สมาธิสั้น วอกแวกง่าย ความจำเสีย หมดแรง เหนื่อยหน่าย คิดว่าตนเองเป็นภาระให้ผู้อื่นลำบาก รู้สึกผิดที่ตนเองรอดชีวิตหรือไม่สามารถช่วยเหลือคนอื่นได้ คิดว่าตนเองไร้ค่า อาการซึมเศร้าอาจรุนแรงมากจนคิดว่าตนเองผิด เบื่อชีวิต คิดอยากตาย หรือคิดฆ่าตัวตายได้
การซักประวัติและการตรวจประเมินทางจิต
อ้างอิงเกณฑ์การวินิจฉัยโรคเครียดหลังประสบเหตุการณ์ร้ายแรง ตามเกณฑ์ของ Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders-ฉบับที่ 5 (DSM-5) ดังนี้
A. บุคคลเผชิญกับเหตุการณ์ที่อันตรายถึงแก่ชีวิต หรือคุกคามชีวิต หรือได้รับบาดเจ็บรุนแรง หรือถูกล่วงละเมิดทางเพศ อย่างน้อย 1 ข้อ ในลักษณะใดลักษณะหนึ่งดังต่อไปนี้
- เป็นผู้ประสบเหตุโดยตรง
- เป็นพยานรู้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดกับผู้อื่น
- ได้รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดกับคนในครอบครัวหรือเพื่อนสนิท
- ได้ประสบกับรายละเอียดอันน่าสยดสยองของเหตุการณ์นั้นซ้ำๆ (ไม่นับการรับรู้ผ่านทางสื่อ หากไม่เกี่ยวข้องกับงาน)
B. มีอาการอย่างน้อย 1 อย่างของการรับรู้เหตุการณ์ดังกล่าวผุดขึ้นมาซ้ำๆ หลังประสบเหตุการณ์ดังต่อไปนี้
- มีความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นผุดขึ้นมาซ้ำๆ ไม่สามารถควบคุมได้ และทำให้เกิดความทุกข์ทรมาน
- มีฝันร้ายซ้ำๆ ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น
- มี Dissociative reaction เช่น รู้สึกเหมือนอยู่ในเหตุการณ์นั้นขึ้นมาเอง และตกใจกลัวรุนแรงโดยอาจไม่มีเหตุกระตุ้น (Flashback) แล้วเกิดอาการทางร่างกายที่แส ดงความวิตกกังวล เช่น ใจสั่น มือสั่น เหงื่อออกมาก สับสน
- มีความทุกข์ทรมานจิตใจอย่างรุนแรงและยาวนานเมื่อเผชิญกับสิ่งที่กระตุ้นให้นึกถึงเหตุการณ์
- มีปฏิกิริยาทางกายอย่างชัดเจนเมื่อเผชิญกับสิ่งที่กระตุ้นให้นึกถึงเหตุการณ์
C. หลีกเลี่ยงสิ่งเร้าที่สัมพันธ์กับเหตุการณ์หลังเผชิญเหตุการณ์นั้นโดยมีลักษณะอย่างน้อย 1 อย่าง ดังต่อไปนี้
- พยายามหลีกเลี่ยงความทรงจำ ความคิด ความรู้สึกที่สัมพันธ์กับเหตุการณ์นั้น
- พยายามหลีกเลี่ยงสิ่งเร้าภายนอกที่ทำให้ระลึกถึงหรือรู้สึกถึงเหตุการณ์นั้น เช่น บุคคล สถานที่ บทสนทนา กิจกรรม วัตถุ สถานการณ์
D. มีการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์และความคิดการรับรู้ต่อเหตุการณ์ไปในทางลบ หลังเกิดเหตุการณ์ โดยมีลักษณะอย่างน้อย 2 อย่าง ดังต่อไปนี้
- จำส่วนสำคัญของเหตุการณ์นั ้นไม่ได้ (มักเป็น Dissociative amnesia และไม่ได้เกิดจากปัจจัยอื่น เช่น การกระทบกระเทือนที่ศีรษะ แอลกอฮอล์ หรือยา/สารเสพติด)
- คาดหวังหรือมีความเชื่อต่อตนเอง ผู้อื่น และโลกภายนอกไปในทางลบมากเกินไปอย่างต่อเนื่อง เช่น ฉันมันไม่ดี เชื่อใจใครไม่ได้ โลกเป็นที่อันตราย เป็นต้น
- มีความคิดการรับรู้ที่บิดเบือนอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับสาเหตุหรือผลที่ตามมาจากเหตุการณ์ดังกล่าว จนทำให้โทษตนเองหรือบุคคลอื่น
- มีอารมณ์ด้านลบที่ยาวนาน (เช่น หวาดกลัว สะพรึงกลัว โกรธ รู้สึกผิด ละอาย)
- มีความสนใจในกิจกรรมที่สำคัญลดลงอย่างชัดเจน
- รู้สึกแปลกแยกจากบุคคลอื่น
- ไม่สามารถมีอารมณ์ด้านบวก (เช่น มีความสุข พึงพอใจ หรือรัก) ได้เลย
E. มีการเปลี่ยนแปลงความตื่นตัวที่สัมพันธ์กับเหตุการณ์ โดยเริ่มเป็นหรือมีอาการแย่ลงหลังเกิดเหตุการณ์ โดยมีลั กษณะอย่างน้อย 2 อย่าง ดังต่อไปนี้
- หงุดหงิด ระเบิดอารมณ์โกรธ และมีพฤติกรรมก้าวร้าวต่อบุคคลอื่นหรือวัตถุ ทางวาจาหรือการกระทำ แม้ไม่มีสิ่งกระตุ้นหรือมีสิ่งกระตุ้นเพียงเล็กน้อย
- กระสับกระส่ายหรือมีพฤติกรรมทำลายตนเอง
- ระแวดระวัง (Hypervigilance)
- สะดุ้งตกใจง่ายเกินเหตุ
- มีปัญหาสมาธิ
- มีปัญหาการนอน เช่น หลับยาก หรือหลับๆ ตื่นๆ หรือนอนกระสับกระส่าย
F. มีอาการดังกล่าวนานเกิน 1 เดือน
G. อาการเหล่านี้ก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานอย่างมีนัยสำคัญทางการแพทย์ หรือการทำหน้าที่ด้านสังคม การงาน หรือด้านอื่นๆ ที่สำคัญบกพร่องไป
H. อาการไม่ได้เป็นจากผลของยาหรือสารเสพติดหรือโรคทางกาย
ชนิดย่อยของโรค posttraumatic stress disorder (PTSD)
- ชนิดมีอาการ dissociation (with dissociative symptom) เช่น รู้สึกว่าตนเองเปลี่ยนแปลงไปจากปกติ (depersonalization) หรือรู้สึกว่าสิ่งที่อยู่แวดล้อมภายนอกผิดไปจากที่ควรจะเป็น (Derealization)
- ชนิดอาการเกิดช้า (with delayed expression)มีอาการครบเกณฑ์วินิจฉัยของ PTSD หลังประสบเหตุการณ์ร้ายแรงแล้ว 6 เดือนขึ้นไป
การช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้ประสบเหตุการณ์ร้ายแรง
การช่วยเหลือประคับประคองทางจิตใจแก่ผู้ประสบเหตุการณ์ร้ายแรง ควรรีบดำเนินการร่วมกับทีมช่วยเหลือทางร่างกายและด้านอื่นๆ ในระยะแรกหลังประสบเหตุการณ์ร้ายแรงใช้วิธีปฐมพยาบาลทางจิตใจ (psychological first aid) ดังนี้
- การสร้าง ความสัมพันธ์ หลีกเลี่ยงการอยู่ลำพัง และให้ความมั่นใจว่าสามารถช่วยแก้ไขปัญหาได้
- ให้ความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว ให้อยู่กับบุคคลใกล้ชิด
- ให้ความรู้เรื่องปฏิกิริยาทางจิตใจ เพื่อให้เข้าใจว่าไม่ใช่โรคจิตประสาท สามารถหายได้
- ช่วยเหลือทางจิตใจเพื่อให้กลับไปดำเนินชีวิตตามปกติโดยเร็ว สอนวิธีคลายเครียด
- ค้นหาความต้องการและให้ความช่วยเหลือตามความต้องการ
- สร้างช่องทางช่วยเหลือที่เข้าถึงได้ การให้ความรู้ (Psycho-education) ให้ความรู้แก่ผู้ป่วย ครอบครัว และผู้เกี่ยวข้อง เรื่องอาการทางจิตใจหลังประสบเหตุการณ์ร้ายแรง เพื่อให้เข้าใจอาการที่เกิดขึ้นซึ่งสามารถหายได้ หากได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง การรักษาทางยานั้นให้ส่งต่อไปแพทย์เฉพาะทาง